หลักการอ่าน
การอ่านหนังสือ
ไม่ว่าจะเป็นการอ่านออกเสียงหรืออ่านในใจ มิใช่สักแต่อ่านหนังสือออก
เท่านั้นแต่ต้องมีคุณสมบัติของผู้ที่อ่านเป็นด้วยจึงจะทำให้การอ่านนั้นได้ความหมายได้อรรถรส
ตรงตามจุดมุ่งหมายของผู้เขียน และลักษณะของผู้ที่อ่านเป็นนั้น
ถือว่าเป็นผู้อ่านที่มี ประสิทธิภาพในการอ่าน
ลักษณะของผู้ที่อ่านเป็น
๑.
อ่านแล้วรู้เรื่องราวได้ตลอดแจ่มแจ้ง คือ
อ่านแล้วจับใจความของเรื่องที่อ่านได้ตลอด
ทั้งเรื่อง ไม่ใช่รู้เพียงบางส่วน นอกจากนั้นต้องเข้าใจความหมายในเนื้อหาของเรื่องที่อ่านได้
ถูกต้องด้วย
๒. ได้รับรสชาติจากการอ่าน
หมายถึง เมื่ออ่านเรื่องใดก็ตามย่อมเกิดความซาบซึ้ง ตามเนื้อหา
สำนวนและวิธีการประพันธ์นั้น ๆ เกิดอารมณ์ร่วมและมองเห็นภาพพจน์
ตามที่ผู้ประพันธ์บรรยาย
๓. วินิจฉัยคุณค่าของหนังสือที่อ่านได้ว่า
มีคุณค่าหรือประโยชน์แง่ใด มีคุณค่ามากน้อย เพียงใด
หรือควรให้ความสนใจมากน้อยเพียงใด หนังสือใดเหมาะสมกับบุคคลประเภทใด เป็นต้น
๔.
รู้จักนำสิ่งที่เป็นประโยชน์จากหนังสือที่อ่านมาใช้ได้เหมาะสมกับสถานการณ์
หนังสือทุกเรื่องที่อ่านย่อมมีคุณค่า มากบ้างน้อยบ้างในแง่ต่าง ๆ
การรู้จักวินิจฉัยและรู้จัก
ค้นหาสิ่งที่เป็นประโยชน์จากหนังสือที่อ่านนำมาใช้ได้เหมาะสม
เป็นวิธีการอย่างหนึ่ง ของการรับสารที่มีประสิทธิภาพ
๕.
รู้จักเลือกหนังสือที่อ่านได้เหมาะสมตามความต้องการในแต่ละโอกาส หรือรู้จัก
เลือกหนังสืออ่านได้ตรงตามความมุ่งหมายนั่นเอง
ประเภทของการอ่าน
การอ่านแบ่งออกเป็น ๒
ประเภท คือ อ่านออกเสียง และ อ่านในใจ
การอ่านออกเสียง หมายถึง
การอ่านที่ผู้อื่นสามารถได้ยินเสียงอ่านด้วยการอ่าน ออกเสียงมักไม่นิยมอ่าน
เพื่อการรับสารโดยตรง เพียงคนเดียว เว้นแต่ในบางครั้งเราอ่าน
บทประพันธ์เป็นท่วงทำนองเพื่อความไพเราะเพลิดเพลินส่วนตัว แต่ส่วนใหญ่แล้ว
การอ่านออกเสียงมักเป็นการอ่านให้ผู้อื่นฟัง การอ่านประเภทนี้มีหลายโอกาสคือ
๑. การอ่านออกเสียงเพื่อบุคคลในครอบครัวหรือผู้ที่คุ้นเคย
เป็นการอ่านที่ไม่เป็นทางการ การอ่านเพื่อบุคคลในครอบครัว เช่น อ่านนิทาน
หนังสือพิมพ์ ข่าว จดหมาย ใบปลิว คำโฆษณา ใบประกาศ หนังสือวรรณคดีต่าง ๆ เป็นการอ่านสู่กันฟัง
หรืออ่านให้เพื่อนฟัง
อ่านให้คนบางคนที่อ่านหนังสือไม่ออก หรือมองไม่เห็นฟัง เป็นต้น
๒.การอ่านออกเสียงที่เป็นทางการหรืออ่านในเรื่องของหน้าที่การงาน
เป็นการอ่านที่เป็นทางการ
มีระเบียบแบบแผนเป็นการอ่านที่รัดกุมกว่าการอ่านออกเสียง เพื่อบุคคล
ในครอบครัวหรือผู้ที่คุ้นเคย เช่น การอ่านในห้องเรียน อ่านที่ประชุม อ่านรายงาน
อ่านในพิธีเปิดงาน อ่านคำปราศรัย อ่านสารในโอกาสที่สำคัญต่าง ๆ
การอ่านของสื่อมวลชน เป็นต้น
การอ่านออกเสียงให้ผู้อื่นฟัง
จะต้องอ่านให้ชัดเจนถูกต้องได้ข้อความครบถ้วนสมบูรณ์ มีลีลาการอ่าน
ที่น่าสนใจและน่าติดตามฟังจนจบ
จุดมุ่งหมายในการอ่านออกเสียง
๑. เพื่อให้อ่านออกเสียงได้ถูกต้องตามอักขรวิธี
๒.
เพื่อให้รู้จักใช้น้ำเสียงบอกอารมณ์และความรู้สึกให้สอดคล้องกับเนื้อหาของเรื่อง
ที่อ่าน
๓. เพื่อให้เข้าใจเรื่องที่อ่านได้ถูกต้อง
๔.
เพื่อให้ผู้อ่านและผู้ฟังมีความรู้ความเข้าใจเนื้อเรื่องที่อ่านได้ชัดเจน
๕. เพื่อให้ผู้อ่านและผู้ฟังเกิดความเพลิดเพลิน
๖. เพื่อเป็นการรับสารและส่งสารวิธีหนึ่ง
หลักการอ่านออกเสียง
๑. อ่านออกเสียงให้ถูกต้องและชัดเจน
๒. อ่านให้ดังพอที่ผู้ฟังได้ยินทั่วถึง
๓. อ่านให้เป็นเสียงพูดโดยธรรมชาติ
๔. รู้จักทอดจังหวะและหยุดหายใจเมื่อจบข้อความตอนหนึ่ง ๆ
๕. อ่านให้เข้าลักษณะของเนื้อเรื่อง เช่น บทสนทนา
ต้องอ่านให้เหมือนการสนทนากัน
อ่านคำบรรยาย พรรณนาความรู้สึก หรือปาฐกถาก็อ่านให้เข้ากับลักษณะของเรื่องนั้น
ๆ
๖. อ่านออกเสียงและจังหวะให้เป็นไปตามเนื้อเรื่อง เช่น ดุหรือโกรธ
ก็ทำเสียง แข็งและเร็ว ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับคร่ำครวญ อ้อนวอน ก็ทอดเสียงให้ช้าลง
เป็นต้น
๗. ถ้าเป็นเรื่องร้อยกรองต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ด้วย
๗.๑ สัมผัสครุ
ลหุ ต้องอ่านให้ถูกต้อง
๗.๒
เน้นคำรับสัมผัสและอ่านเอื้อสัมผัสใน เพื่อเพิ่มความไพเราะ
๗.๓
อ่านให้ถูกต้องตามจังหวะและทำนองนิยม ตามลักษณะของร้อยกรองนั้น ๆ
ยังมีการอ่านออกเสียงอีกประการหนึ่ง การอ่านทำนองเสนาะ เป็นลักษณะการอ่าน
ออกเสียง ที่มีจังหวะทำนองและออกเสียงสูงต่ำเพื่อให้เกิดความไพเราะ การอ่านทำนอง
เสนาะนี้ผู้อ่านจะต้องเข้าใจลักษณะบังคับของคำประพันธ์แต่ละชนิดและรู้วิธีอ่านออกเสียง
สูงต่ำ การทอดเสียง การเอื้อนเสียง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของคำประพันธ์ชนิดต่าง ๆ
ด้วย การอ่านทำนองเสนาะนี้ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาช้านาน
ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทย
ทุกคนควรภูมิใจและรักษาวัฒนธรรมล้ำค่านี้ไว้เพื่อถ่ายทอดสืบต่อกันไปชั่วลูกชั่วหลาน
หลักการอ่านทำนองเสนาะ
๑. ศึกษาลักษณะบังคับของคำประพันธ์แต่ละชนิดที่อ่านให้เข้าใจแจ่มแจ้ง
๒. อ่านให้ถูกต้องตามลักษณะของคำประพันธ์ชนิดนั้น ๆ เช่น การแบ่งวรรค
บทสัมผัส
การออกเสียงสูงต่ำ
๓. อ่านออกเสียงให้ถูกต้อง ชัดเจน
๔. ใช้น้ำเสียงที่เหมาะสมกับบทบาทเนื้อเรื่องที่อ่าน บทโกรธ บทเศร้า
ต้องรู้จักใช้เสียง
ให้ผู้ฟัง เกิดอารมณ์คล้อยตาม
๕. คำนึงถึงความไพเราะและท่วงทำนองและคำประพันธ์นั้น ๆ
โดยการทอดจังหวะ
เอื้อนเสียง เน้นเสียง เป็นต้น
การอ่านในใจ
การอ่านใจในถือว่าเป็นการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ อันได้แก่
- พัฒนาด้านความรู้
คือ ได้ทั้งความรู้รอบตัวและความรู้เฉพาะด้าน
- พัฒนาด้านอารมณ์
ช่วยให้เกิดความเพลิดเพลิน บันเทิงใจคลายความขุ่นมัวต่าง ๆ
- พัฒนาคุณธรรม
การมีคุณธรรมย่อมเกิดมาจากความจรรโลงใจซึ่งได้จากการอ่าน หนังสือประเภทธรรมะ
ชีวประวัติ สารคดี ฯลฯ
การอ่านในใจจึงเป็นวิธีการศึกษาอย่างหนึ่ง
เพื่อเรียนรู้และเข้าใจประสบการณ์ใหม่ ๆ
ซึ่งช่วยให้มนุษย์เกิดการปรับตัวเพื่อการดำรงชีวิตอย่างเป็นสุข
จุดมุ่งหมายในการอ่านในใจ
๑. เพื่อจับใจความได้ถูกต้องรวดเร็ว
๒. เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจและความคิดกว้างขวางลึกซึ้ง เป็นการเสริมสร้าง
ประสบการณ์ชีวิต
๓. เพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินและเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
๔. เพื่อให้สามารถถ่ายทอดสิ่งที่อ่านให้ผู้อื่นรับรู้ได้โดยไม่ผิดพลาด
หลักการอ่านในใจ
๑. ตั้งสมาธิให้แน่วแน่
๒. กะระยะช่วงสายตาแต่ละคราวให้กว้างที่สุด จะทำให้อ่านได้รวดเร็ว
ไม่ควรมองเป็น
คำ ๆ เพราะทำให้อ่านช้าและจับใจความไม่ได้
๓. การเคลื่อนไหวสายตาจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งไม่ควรบ่อยครั้ง
แต่ควรเป็นไปอย่างมี
จังหวะและแน่นอน ไม่ควรส่ายตาไปตามเส้นบรรทัด
๔. ไม่ควรอ่านย้อนกลับเพื่อทบทวนใหม่บ่อย ๆ ทำให้อ่านช้า
๕. การเปลี่ยนบรรทัดต้องให้แม่นยำ
พยายามอย่ากลับไปอ่านซ้ำบรรทัดเดิมอีก
๖. ไม่ทำปากขมุบขมิบหรือออกเสียงในเวลาอ่าน
๗. ไม่ใช้นิ้ว ปากกา หรือดินสอ ชี้ที่ตัวหนังสือทีละตัว
๘. จับใจความสำคัญและใจความประกอบให้ได้ พิจารณาให้เข้าใจ
๙. บันทึกความรู้
ความเข้าใจ และความคิดไว้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น